การเจริญวิปัสสนาเป็นการระลึกรู้เท่าทันสภาวธรรมปัจจุบัน
โดยอาศัย คำบริกรรมเป็นเครื่องช่วยให้รู้ตัวในปัจจุบันขณะ คำบริกรรมนั้นสำคัญต่อการเจริญวิปัสสนา
จัดเป็นวิชชมานบัญญัติ คือ บัญญัติแสดงเนื้อความที่ปรากฏโดยปรบัตถ์ ซึ่งเรียกว่า ตัชชาบัญญัติ
หมายถึง บัญญัติที่เหมาะสมกับสภาวธรรม กล่าวคือ สื่อให้รู้ถึงสภาวธรรมนั้นๆ
ได้อย่างชัดเจน
แม้การบริกรรมจะทำให้จิตรับรู้คำบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่ก็ช่วยให้จิตจดจ่อมากขึ้นในเวลาเริ่มปฏิบัติธรรม จากนั้นจึงสามารถหยั่งเห็นรูปนามตามสภาวะนั้นๆ โดยความไม่เที่ยงเป็นต้นได้ เมื่อวิปัสสนาญาณมีกำลังมากขึ้นแล้ว ในภายหลังนักปฏิบัติก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำบริกรรมอีกต่อไป เพราะในขณะนั้นจะสามารถตามรู้รูปนามได้ชัดเจน จนรู้เห็นความเกิดดับอย่างรวดเร็วของสภาวธรรมที่กำลังกำหนดอยู่ ดังข้อความในคัมภีร์วิสุทธิมรรคมหาฎีกาว่า
แม้การบริกรรมจะทำให้จิตรับรู้คำบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่ก็ช่วยให้จิตจดจ่อมากขึ้นในเวลาเริ่มปฏิบัติธรรม จากนั้นจึงสามารถหยั่งเห็นรูปนามตามสภาวะนั้นๆ โดยความไม่เที่ยงเป็นต้นได้ เมื่อวิปัสสนาญาณมีกำลังมากขึ้นแล้ว ในภายหลังนักปฏิบัติก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำบริกรรมอีกต่อไป เพราะในขณะนั้นจะสามารถตามรู้รูปนามได้ชัดเจน จนรู้เห็นความเกิดดับอย่างรวดเร็วของสภาวธรรมที่กำลังกำหนดอยู่ ดังข้อความในคัมภีร์วิสุทธิมรรคมหาฎีกาว่า
นนุ จ ตชฺชาปญฺญตฺติวเสน สภาวธมฺโม คยฺหตีติ. สจฺจํ คยฺหติ ปุพฺพภาเค. ภาวนาย ปน วฑฺฒมานาย ปญฺญตฺตึ สมติกฺกมิตฺวา สภาเวเยว จิตฺตํ ติฏฺฐติ.
“ถามว่าบุคคลย่อมรับรู้สภาวธรรมโดยเนื่องด้วยนามบัญญัติ
ได้หรือ ตอบว่า จริงอยู่ ในเบื้องแรกย่อมรับโดยเนื่องด้วยนามบัญญัติ
(คือมีคำบริกรรมสลับกันไป) แต่เมื่อภาวนาเจริญขึ้น จิตย่อมล่วงบัญญัติแล้ว ดำรงอยู่ในสภาวะเดียว
(คือไม่มีคำบริกรรมประกอบร่วม)”
ความจริงข้อความข้างต้น กล่าวไว้ในเรื่องการระลึกถึงพระพุทธคุณ แต่นำมาประยุกต์ใช้ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ เพราะวิปัสสนามีอารมณ์เป็นสภาวธรรมเหมือนพระพุทธคุณ และการระลึกถึงพระพุทธคุณก็ต้องบริกรรมว่า อิติปี โส ภควา เป็นต้นเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจระลึกถึงพระพุทธคุณได้
ความจริงข้อความข้างต้น กล่าวไว้ในเรื่องการระลึกถึงพระพุทธคุณ แต่นำมาประยุกต์ใช้ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ เพราะวิปัสสนามีอารมณ์เป็นสภาวธรรมเหมือนพระพุทธคุณ และการระลึกถึงพระพุทธคุณก็ต้องบริกรรมว่า อิติปี โส ภควา เป็นต้นเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจระลึกถึงพระพุทธคุณได้
[การใช้คำบริกรรมว่า
“พองหนอ ยุบหนอ” นี้ ท่านเจ้าคุณพระธรรมธีรราชมหามนี (โซดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙)
อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สำนักงานกลางกองการ วิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุฯ คณะ ๕
กรุงเทพมหานคร ได้บัญญัติใช้ก่อนและสอนศิษยานุศิษย์สืบต่อมา
ความจริงในภาษาพม่าใช้คำว่า “พองแด เปงแด” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทย ว่า “พองอยู่
ยุบอยู่” โดยเหตุที่ภาษาพม่ามักประกอบกิริยาคุมพากย์เหมือนภาษาบาลีจึง ใช้ แด (อยู่)
ควบคู่ไปกับคำว่า พอง, เปง ดังนั้น คำบริกรรมนั้นจึงมีสองคำว่า พองแด เปงแด
(พองอยู่ ยุบอยู่) อย่างไรก็ตาม คนไทยทั้งประเทศคุ้นเคยกับคำว่า พองหนอ ยุบหนอ
ผู้แปลจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น พองอยู่ ยุบอยู่
คำบริกรรมนั้นมีประโยชน์เพื่อให้จิตจดจ่อมากขึ้น เป็นการเพิ่มวิริยะทางใจเพื่อไม่ให้ตามรู้อย่างผิวเผิน เปรียบเหมือนก้อนดินเหนียวที่ขว้างใส่ผนังด้วยกำลังแรง ย่อมกระทบถูกผนังและติดแน่น ถ้าถูกขว้างด้วยกำลังไม่เพียงพอ ก็อาจพุ่งไปไม่ถึงผนัง หรือ แม้กระทบผนังก็ไม่ติดแน่น]
คำบริกรรมนั้นมีประโยชน์เพื่อให้จิตจดจ่อมากขึ้น เป็นการเพิ่มวิริยะทางใจเพื่อไม่ให้ตามรู้อย่างผิวเผิน เปรียบเหมือนก้อนดินเหนียวที่ขว้างใส่ผนังด้วยกำลังแรง ย่อมกระทบถูกผนังและติดแน่น ถ้าถูกขว้างด้วยกำลังไม่เพียงพอ ก็อาจพุ่งไปไม่ถึงผนัง หรือ แม้กระทบผนังก็ไม่ติดแน่น]
ที่มา : หนังสือ วิปัสสนานัย เล่มที่ ๑ พระคันธสาราภิวงศ์ วัดท่ามะโอ ลำปาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น